รายละเอียด
น้ำมันคริล, Antarctic Krill Oil
น้ำมันคริล, Antarctic Krill Oil ขนาดบรรจุ 30 แคปซูล(Softgels)
ขนาดรับประทาน: วันละ 1 แคปซูล, พร้อมอาหาร
ผลิตโดยบริษัท Source Naturals, สหรัฐอเมริกา
หมดอายุ : 01/2024
ส่วนประกอบที่สำคัญใน 1 แคปซูล(Fish Gelatin Softgels) น้ำมันคริล จากกุ้งเคยแอนตาร์กติกา (Krill Oil (from shellfish) 500 มก. ประกอบด้วย
- Omega-3 Fatty Acids 150 มก. ให้
– EPA (eicosapentaenoic acid) 70 มก.
– DHA (docosahexaenoic acid) 45 มก. - ฟอสโฟลิพิด, Phospholipids 210 มก.
- แอสตาแซนธิน, Astaxanthin (from krill oil) 750 มคก.
ผลิตโดยบริษัท California Gold Nutrition, สหรัฐอเมริกา
คริล(Krill) เป็นสัตว์ทะเลประเภทเดียวกับกุ้งขนาดเล็ก ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกของมหาสมุทรแอนตาร์คติก โดยทั่วไปแล้วคริลมักเป็นอาหารของพวกปลาทะเลและสัตว์น้ำที่มีขนาดใหญ่กว่า น้ำมันคริล มีคุณสมบัติคล้ายกับน้ำมันปลา แต่ปลอดกลิ่นคาวปลา และฟอสโฟลิพิดของน้ำมันคริล มีคุณสมบัติที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายจึงช่วยให้ EPA และDHA สามารถเข้าสู่เยื่อหุ้มเซลล์ได้โดยตรง นอกจากนี้ยังพบว่า น้ำมันคริลมีสารสำคัญ คือ แอสต้าแซนธิน(astaxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพจากธรรมชาติ และยังช่วยป้องกันการเสื่อมสลายของ EPA และDHA ด้วย
น้ำมันคริล(Krill Oil) ให้กรดไขมันที่จำเป็น (essential fatty acid, EFA) ซึ่งเป็นกรดไขมัน (fatty acid) ที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับจากอาหารที่บริโภคเข้าไป เพื่อทำให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ กรดไขมันประเภทนี้ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพการเจริญเติบโต การพัฒนาการ และการทำงานของสมอง การทำงานของหัวใจ สุขภาพผิวที่ดี และระบบการสืบพันธุ์ การขาดกรดไขมันที่จำเป็นจะมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม กรดไขมันที่จัดเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายมี 2 ชนิด คือ
- EPA กรดไอ-โคซาเพนตาอีโนอิก (Eicosapentaenoic Acid) เป็นกลไกสำคัญที่ให้พลังงานกับเซลล์ในร่างกาย มีคุณสมบัติในการลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันการอุดตัดของหลอดเลือด จึงช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดดีขึ้น ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ ป้องกันหลอดเลือดในสมองตีบตัน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ นอกจากนี้ EPA ยังช่วยต่อต้านอาการข้ออักเสบ และลดอาการปวดศรีษะเนื่องจากไมเกรนได้
- DHA กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิก (Docosahexaenoic Acid) ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ จึงเปรียบเสมือนเสาหลักของร่างกาย นอกจากนี้ DHA ยังมีความจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและดวงตา DHA ส่วนใหญ่จึงถูกส่งไปที่สมองเพื่อช่วยให้สมองทำงานได้อย่างปกติ เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ ความจำ ตลอดจนระบบสายตา ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
กรดไขมันทั้งสอง เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดแล้วก็จะเกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณของเซลล์ (Cell signaling cascade) ในเนื้อเยื่อต่างๆมากมาย เช่น กระบวนการลดอักเสบ ช่วยลดความรุนแรงของโรคไขข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) และลดอาการปวดประจำเดือน นอกจากนี้ยังช่วยลดไขมันเลว(LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือด (Arterial plaque) อันเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดอุดตัน ขณะที่ DHA จะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของระบบประสาทและการมองเห็น ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ รวมทั้งช่วยชะลอความเสื่อมของระบบประสาทและสมอง
รีวิว
ยังไม่มีบทวิจารณ์